Noteworthy People Around You

บุคคลที่คุณควรรู้จัก


คุณโก๋-เอกรินทร์ เกิดสูง

เมื่อสิ่งที่ชอบ กับสิ่งที่ใช่ หลอมรวมในเส้นทางชีวิต



“ศิลปะแห่งการเป็นตัวเอง จากแต่งหน้า น้ำหอม สู่ไพ่ทำนาย และการเป็นนักต่อสู้ด้านสิทธิมนุษยชน”

          มีใครเคยถามตัวเองไหมว่า—ในชีวิตนี้ เรามีความสุขกับการทำอะไร? แล้วต้องทำอย่างไรถึงจะค้นพบสิ่งที่เราชอบ จนกลายเป็นสิ่งที่ใช่? บางคนอาจใช้เวลาทั้งชีวิตลองผิดลองถูก บางคนอาจพบคำตอบได้อย่างรวดเร็ว แต่สำหรับบางคน เส้นทางของการค้นหาตัวเองอาจเป็นการต่อยอดจากสิ่งเล็ก ๆ ที่ค่อย ๆ เติบโตและเชื่อมโยงกันจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต

         พี่โก๋ เอกรินทร์ เกิดสูง คือหนึ่งในคนที่สะท้อนเรื่องราวนี้ได้อย่างชัดเจน จากการทำงานด้านสิทธิมนุษยชนในมูลนิธิเครือข่ายเพื่อนกะเทยเพื่อสิทธิมนุษยชน (ThaiTGA) ควบคู่ไปการเป็นช่างแต่งหน้า นักพัฒนาบุคลิกภาพ นักปรุงน้ำหอม และผู้เชี่ยวชาญศาสตร์ไพ่ทำนาย เส้นทางของพี่โก๋ไม่ได้มีเพียงเส้นเดียว แต่มันเป็น การหลอมรวมกันของความหลงใหลหลายอย่าง ที่สุดท้ายแล้วล้วนสะท้อนตัวตนของเขา

         เราได้รู้จักพี่โก๋ตั้งแต่สมัยทำงานที่ สสส. ด้วยกัน และติดตามการใช้ชีวิตอันน่าสนใจของเขามาตลอด รวมถึงการมีโอกาสได้ร่วมงานกันบ้างในบางโอกาส วันนี้ The SPACE อยากเป็นตัวแทนในการถ่ายทอดแง่มุมชีวิตของเขา—จากการเป็นนักขับเคลื่อนสังคม ไปจนถึงการเป็นศิลปินแห่งศิลปะแห่งตัวตน

          นี่คือเรื่องราวของคนที่ไม่เคยจำกัดตัวเองไว้กับคำว่า “อาชีพเดียว” แต่กลับเชื่อว่า ชีวิตคือการเรียนรู้ และทุกสิ่งที่เรารักสามารถอยู่ร่วมกันได้ SPACE interview วันนี้ อาจจะยาวมากหน่อย แต่อยากให้ทุกท่านได้อ่านกัน !!





“เส้นทางของนักสิทธิมนุษยชนที่เริ่มจาก (ตัวเอง)”

         เมื่อพูดถึงการทำงานด้านสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะในกลุ่มคนข้ามเพศ หนึ่งในบุคคลที่มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนมาโดยตลอดคือคือ พี่โก๋ เอกรินทร์ เกิดสูง หรือที่หลายคนรู้จักกันในฐานะ HR Care Manager แห่งมูลนิธิเครือข่ายเพื่อนกะเทยเพื่อสิทธิมนุษยชน (ThaiTGA)

         “พี่โก๋” ไม่ใช่แค่คนที่ทำงานเพื่อสิทธิของคนข้ามเพศเพราะความสนใจทั่วไป แต่เพราะนี่คือเรื่องราวชีวิตของเขาเอง ตั้งแต่วัยเด็ก พี่โก๋เติบโตขึ้นมาพร้อมกับปัญหาการถูกบูลลี่และการไม่เป็นที่ยอมรับของสังคม เขามองว่าตัวเองเป็นเจ้าของปัญหา และเชื่อว่าไม่มีใครจะเข้าใจและผลักดันเรื่องนี้ได้ดีไปกว่าคนที่เผชิญมากับตัว “ใครจะพูดถึงเรื่องความจนได้ดีไปกว่าคนจน? ใครจะพูดถึงโรคมะเร็งได้ดีไปกว่าคนที่เป็นโรคมะเร็ง? มันก็เหมือนกันกับเรื่องของคนข้ามเพศ” นี่คือคำกล่าวของพี่โก๋ ที่สะท้อนถึงความเป็นจริงของสังคม

         เส้นทางของพี่โก๋ในงานสิทธิมนุษยชนเริ่มต้นจากการทำงาน NGO เขาเป็นอาสาสมัครที่เครือข่ายเพื่อนกะเทยไทยมาก่อน (ยุคเริ่มต้นยังไม่ได้เป็นมูลนิธิ) และเมื่อทำไปสักระยะหนึ่ง เขาก็ตระหนักว่า หากต้องการเปลี่ยนแปลงอะไรจริงจัง เขาต้อง “แข็งแกร่ง” ขึ้นในเชิงความรู้และทฤษฎีทางสังคม เขาจึงเลือกศึกษาต่อในคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

         การทำงานของพี่โก๋แบ่งเป็นสองแนวทางหลัก คือ การช่วยเหลือโดยตรง (เช่น การให้คำปรึกษา หรือสนับสนุนคนข้ามเพศที่ประสบปัญหาทางสังคม) และการทำงานเชิงนโยบายเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงในระดับโครงสร้าง ซึ่งสุดท้ายพี่โก๋พบว่าการขับเคลื่อนเชิงนโยบายคือสิ่งที่เขาสบายใจและถนัดมากกว่า






ThaiTGA กับบทบาทการสร้างการเปลี่ยนแปลง

         การเข้ามาทำงานใน ThaiTGA ทำให้พี่โก๋ได้ใช้ศักยภาพของตัวเองในการผลักดันนโยบายเพื่อสิทธิของคนข้ามเพศมากขึ้น หนึ่งในภารกิจสำคัญของเขาคือ การเข้าไปทำงานร่วมกับกองการสัสดีเพื่อแก้ปัญหาการเกณฑ์ทหารของคนข้ามเพศ

          ในอดีต คนข้ามเพศที่เข้ารับการตรวจเลือกเกณฑ์ทหารมักจะถูกระบุในเอกสารทางการว่าเป็น “บุคคลวิกลจริต” หรือ “คนบ้า” ซึ่งส่งผลกระทบต่อชีวิตในระยะยาว เพราะเอกสารเหล่านี้อาจกลายเป็นอุปสรรคในการสมัครงาน ทำให้พวกเขาถูกเลือกปฏิบัติในหลายบริบทของสังคม พี่โก๋และ ThaiTGA จึงพยายามต่อสู้ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกระบวนการนี้ เพื่อให้การระบุเพศสภาพในเอกสารเป็นไปอย่างถูกต้องและเคารพศักดิ์ศรีของคนข้ามเพศมากขึ้น

          ตลอด 11 ปีของการทำงาน พี่โก๋และทีมงานต้องเผชิญกับความท้าทายมากมาย เพราะกรรมการตรวจเลือกเกณฑ์ทหารจะเปลี่ยนทุกปี ทำให้ต้องกลับไปอธิบายและสร้างความเข้าใจใหม่ซ้ำแล้วซ้ำอีก นอกจากนี้ คนข้ามเพศ

          หลายคนยังขาดความรู้เกี่ยวกับกระบวนการนี้ ทำให้พวกเขากังวลและขาดที่พึ่งในการเตรียมตัว ThaiTGA จึงตั้งเครือข่ายอาสาสมัครใน 26 จังหวัดทั่วประเทศเพื่อให้ความช่วยเหลือในวันตรวจเลือกทหาร โดยมีพี่กะเทยรุ่นพี่เข้าไปให้กำลังใจและช่วยดูแลสถานการณ์ภายในหน่วยตรวจเลือก


          หลายปีที่ผ่านมา เสียงของคนข้ามเพศเริ่มได้รับการรับฟังมากขึ้น กฎหมายและนโยบายเกี่ยวกับความเท่าเทียมทางเพศเริ่มถูกพูดถึงมากขึ้น แม้จะยังไม่สมบูรณ์แบบ แต่ทุกก้าวที่เกิดขึ้น ล้วนเป็นเครื่องยืนยันว่าความพยายามของพี่โก๋และเพื่อนร่วมขบวนการ ไม่เคยสูญเปล่า
         ในฐานะตัวแทนของ The SPACE เราไม่ได้มองว่าพี่โก๋เป็นเพียง “นักเคลื่อนไหว” แต่คือ คนที่ทุ่มเทให้กับสิ่งที่เขาเชื่อสุดหัวใจ งานของเขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงแค่กฎหมาย หรือสังคม แต่เปลี่ยนชีวิตของผู้คนจริง ๆ ให้พวกเขากล้าที่จะยืนหยัดในสิ่งที่พวกเขาเป็น

“จากการต่อสู้เพื่อสิทธิ สู่ศิลปะแห่งการดูแลใจตัวเอง”


แต่งหน้าคือศิลปะ และศิลปะคือการเป็นตัวเอง

          การแต่งหน้าไม่ใช่แค่ความสวยงาม แต่มันคือพลังที่เปลี่ยนแปลงชีวิต หากถามว่า “พี่โก๋” เริ่มสนใจการแต่งหน้าตั้งแต่เมื่อไหร่ คำตอบคงต้องย้อนกลับไปตั้งแต่ช่วงวัยรุ่น พี่โก๋ไม่ได้มองการแต่งหน้าแค่ในเชิงของ “ความงาม” แต่สำหรับเขา มันเป็นศาสตร์ที่สะท้อนตัวตน เป็นการแสดงออกทางศิลปะ และเป็นเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับคน “จริง ๆ เราเป็นคนที่มีเซนส์เรื่องสีและความงามมาตั้งแต่เด็ก เราสนใจศิลปะ และมองว่าการแต่งหน้าก็คือศิลปะรูปแบบหนึ่ง” พี่โก๋เล่าด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ

          จุดเริ่มต้นของเขาไม่ได้มาจากการเรียนคอร์สแต่งหน้าแพง ๆ หรือฝึกฝนจากช่างมืออาชีพ แต่มาจากการลองผิดลองถูก ลองแต่งหน้าตัวเองก่อน แล้วค่อยขยับไปแต่งให้เพื่อน ๆ จนเริ่มมีคนเห็นฝีมือและชวนให้ไปช่วยแต่งหน้าในงานต่าง ๆ “ตอนเรียนมหาวิทยาลัยที่เชียงใหม่ มันเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยอีเวนต์ กิจกรรมประกวด งานแฟชั่น เราได้ลองจับงานแต่งหน้าหลายแบบ ทั้งแต่งหน้ารับปริญญา แต่งเจ้าสาว หรือแม้แต่แต่งหน้าสำหรับโชว์พิเศษ แล้วเราก็ค้นพบว่า นี่คือสิ่งที่เราทำได้ดี และมันช่วยให้เรารู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้น”


การแต่งหน้าคือพลังที่มากกว่าความสวยงาม

          พี่โก๋เชื่อว่าการแต่งหน้าไม่ใช่แค่ทำให้คนดูดีขึ้นภายนอก แต่มันคือการเติมเต็มพลังใจให้กับตัวเอง “มันไม่ใช่เรื่องของการทำให้หน้าขาว หน้าเรียว หรือดูเหมือนคนอื่น แต่คือการเสริมจุดเด่นในแบบที่เราเป็น มันทำให้เรารู้สึกมั่นใจขึ้น เหมือนกับว่าเราควบคุมภาพลักษณ์ของตัวเองได้”

          พี่โก๋เคยเป็นวิทยากรสอนแต่งหน้าให้กลุ่มคนหลากหลาย ตั้งแต่ผู้สูงอายุไปจนถึงเด็กพิการหูหนวก ซึ่งทำให้เขาได้เห็นพลังของการแต่งหน้าที่มากกว่าแค่ความสวย “ครั้งหนึ่งเราไปสอนแต่งหน้าให้เด็กพิเศษและผู้สูงอายุ มีคุณแม่คนหนึ่งที่มากับลูกชายที่พิการหูหนวก พอเธอลองแต่งหน้า ลูกชายของเธออึ้งไปเลย แล้วพูด (ผ่านภาษามือ) ว่า ‘แม่สวยมาก’ แล้วขอให้แม่แต่งหน้าแบบนี้ทุกวัน” นั่นเป็นช่วงเวลาที่ทำให้พี่โก๋ซึ้งใจและเข้าใจว่าความงามไม่ใช่แค่เรื่องภายนอก แต่มันคือพลังบวกที่ส่งต่อถึงกันได้


สร้างความมั่นใจผ่านการแต่งหน้า

          พี่โก๋มองว่า การแต่งหน้าเป็นมากกว่าความงาม แต่มันคือเครื่องมือที่ช่วยให้คนรู้สึกมั่นใจขึ้น โดยเฉพาะคนที่อาจไม่เคยมีโอกาสดูแลตัวเองมาก่อน “หลายครั้งเราเจอคนที่ไม่มั่นใจในตัวเอง เพราะพวกเขารู้สึกว่าตัวเองไม่สวย ไม่เหมาะกับการแต่งหน้า เราเลยบอกว่า ไม่มีใครต้องสวยแบบคนอื่น ทุกคนสามารถเป็นเวอร์ชันที่ดีที่สุดของตัวเองได้”

เทคนิคของพี่โก๋ในการช่วยให้คนรู้สึกมั่นใจมากขึ้นผ่านการแต่งหน้ามีดังนี้:

  • แต่งเพื่อเน้นจุดเด่น ไม่ใช่ปิดบังจุดด้อย - แทนที่จะพยายามเปลี่ยนตัวเองเป็นคนอื่น ให้เน้นจุดที่ตัวเองชอบ เช่น ถ้าชอบดวงตา ก็แต่งให้ดวงตาดูโดดเด่นขึ้น
  • เลือกโทนสีที่ใช่สำหรับตัวเอง - การเข้าใจว่าสีไหนเหมาะกับตัวเองจะช่วยให้การแต่งหน้าดูเป็นธรรมชาติและส่งเสริมบุคลิก
  • เริ่มจากสิ่งเล็ก ๆ - ไม่จำเป็นต้องแต่งจัดเต็ม แต่การใช้แค่แป้ง ลิปสติก หรือคิ้วที่ดูเป็นธรรมชาติ ก็ช่วยเพิ่มความมั่นใจได้มาก
  • อย่ากลัวที่จะลอง - ไม่มีสูตรตายตัวสำหรับความงาม การแต่งหน้าคือการทดลองและปรับให้เข้ากับตัวเอง

“สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร หรืออายุเท่าไหร่ การแต่งหน้าคือสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกดีกับตัวเอง และเมื่อเรารู้สึกดีกับตัวเอง เราก็สามารถส่งต่อพลังบวกให้กับคนรอบข้างได้”





น้ำหอมกับตัวตน

         กลิ่นหอมที่บ่งบอกตัวตน ศาสตร์แห่งความทรงจำและพลังแห่งบุคลิกภาพ หากความงามของพี่โก๋เริ่มต้นจากศิลปะของการแต่งหน้า ศาสตร์แห่งกลิ่นหอม ก็คืออีกหนึ่งมิติที่เติมเต็มตัวตนของเขา น้ำหอมไม่ใช่แค่เรื่องของความหอม แต่มันคือการสื่อสารอารมณ์ ความรู้สึก และตัวตนโดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ยคำพูด


จุดเริ่มต้นของความหลงใหลในน้ำหอม

         สำหรับพี่โก๋ กลิ่นหอมเป็นมากกว่าความสวยงามทางประสาทสัมผัส แต่มันคือสิ่งที่เชื่อมโยงกับอารมณ์ ความทรงจำ และตัวตนของเขาเอง ความสนใจด้านน้ำหอมเริ่มต้นขึ้นจากประสบการณ์ในวัยเด็กที่เขาผูกพันกับกลิ่นต่าง ๆ รอบตัว แม้จะยังไม่ได้ศึกษาอย่างจริงจังในตอนแรก แต่พี่โก๋เริ่มให้ความสนใจกับน้ำหอมมากขึ้นในช่วงวัยเรียน เขาชอบทดลองกลิ่น และเริ่มมองหาความหมายเบื้องหลังองค์ประกอบของกลิ่นแต่ละชนิด จากความหลงใหลเล็ก ๆ น้อย ๆ ค่อย ๆ พัฒนาเป็นการเรียนรู้เชิงลึกเกี่ยวกับศาสตร์ของน้ำหอม

         แรงบันดาลใจที่ทำให้พี่โก๋ตัดสินใจทดลอง ปรุงน้ำหอมด้วยตัวเอง เกิดจากความต้องการสร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัวผ่านกลิ่น เขาสนใจ ศาสตร์ของน้ำหอมแบบไทย ซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะจากส่วนผสมของดอกไม้ สมุนไพร และกลิ่นที่ให้ความรู้สึกสงบ ผ่อนคลาย และมีพลัง เส้นทางของเขาในศาสตร์น้ำหอมจึงไม่ใช่แค่เรื่องของแฟชั่นหรือความหรูหรา แต่มันคือการค้นหาตัวตนผ่านกลิ่น และการแบ่งปันความรู้สึกเหล่านั้นให้กับผู้คนรอบตัว


น้ำปรุงดอกไม้—กลิ่นหอมที่เต็มไปด้วยความหมาย

         ในช่วงเทศกาลสำคัญอย่างสงกรานต์ น้ำปรุงดอกไม้ไทย เป็นสิ่งที่มีความหมายมากกว่าการสร้างกลิ่นหอม แต่เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับความบริสุทธิ์ ความเคารพ และการเริ่มต้นสิ่งใหม่ ๆ

         สำหรับพี่โก๋ การทำน้ำปรุงดอกไม้ไม่ใช่เพียงแค่การผสมกลิ่นให้หอม แต่เป็นการใส่ความตั้งใจ และความหมายลงไปในแต่ละขวด กลิ่นที่ใช้มักได้รับแรงบันดาลใจจาก ดอกไม้ไทยที่มีความพิเศษ ไม่ว่าจะเป็น มะลิ กุหลาบมอญ ดอกชมนาถ หรือกระดังงา ซึ่งล้วนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งในแง่ของกลิ่น และความรู้สึกที่มอบให้กับผู้ใช้ น้ำปรุงแต่ละกลิ่นมีพลังที่มากกว่าแค่ความหอม เพราะสามารถ กระตุ้นอารมณ์ และสร้างความทรงจำ ให้กับผู้ที่ได้สัมผัส ไม่ว่าจะเป็นความสงบ ความอ่อนโยน หรือเสน่ห์ในแบบไทย ๆ พี่โก๋ให้ความสำคัญกับศาสตร์ของน้ำหอมไทย เพราะมันไม่ได้เป็นแค่เรื่องของเครื่องหอม แต่สะท้อนถึงรากเหง้า วัฒนธรรม และความรู้สึกที่ลึกซึ้งกว่าที่หลายคนคิด






น้ำหอมกับบุคลิกภาพ—กลิ่นคืออัตลักษณ์

         สำหรับพี่โก๋ น้ำหอมไม่ใช่แค่เครื่องประดับกลิ่นกาย แต่เป็นสื่อที่สะท้อนตัวตนของแต่ละคน กลิ่นสามารถบอกเล่าเรื่องราวของบุคคลนั้น ๆ ได้ โดยบางคนอาจเลือกใช้กลิ่นหอมหวานเพื่อสะท้อนความนุ่มนวล อ่อนโยน ในขณะที่บางคนอาจชอบกลิ่นแนวเครื่องเทศหรือไม้หอม เพื่อให้ความรู้สึกลึกลับ ทรงพลัง

         การเลือกน้ำหอมเป็นส่วนสำคัญที่ช่วย เสริมบุคลิกและสร้างอารมณ์ พี่โก๋ให้ความสนใจในรายละเอียดของกลิ่นที่มีผลต่อภาพลักษณ์ ไม่ว่าจะเป็น กลิ่นไซตรัสและดอกไม้ที่ให้ความสดชื่น หรือ กลิ่นแนวมัสก์และวานิลลาที่เพิ่มความมั่นใจ

         หากต้องเลือกน้ำหอมที่สะท้อนตัวเอง พี่โก๋ให้ความสำคัญกับ กลิ่นที่มีความสมดุล ซึ่งผสมผสานความอ่อนโยนและความแข็งแกร่งไว้ในตัวเอง น้ำหอมไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องของแฟชั่นหรือความหรูหรา แต่เป็นวิธีหนึ่งในการแสดงออกถึงบุคลิก และทำให้เรารู้สึกดีกับตัวเองในทุกวัน

         หากต้องเลือกน้ำหอมที่สะท้อนตัวเอง พี่โก๋ให้ความสำคัญกับ กลิ่นที่มีความสมดุล ซึ่งผสมผสานความอ่อนโยนและความแข็งแกร่งไว้ในตัวเอง น้ำหอมไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องของแฟชั่นหรือความหรูหรา แต่เป็นวิธีหนึ่งในการแสดงออกถึงบุคลิก และทำให้เรารู้สึกดีกับตัวเองในทุกวัน






ไพ่และศาสตร์การดูดวง

         ศิลปะแห่งสัญลักษณ์ การค้นหาคำตอบ และพลังของการเข้าใจตัวเอง นอกเหนือจากความหลงใหลในศิลปะแห่งการแต่งหน้าและน้ำหอมแล้ว “พี่โก๋” ยังมีอีกหนึ่งศาสตร์ที่เขาให้ความสนใจเป็นพิเศษ นั่นคือ ศาสตร์การดูดวงผ่านไพ่ สำหรับหลายคน การดูดวงอาจเป็นเรื่องของโชคชะตา การทำนายอนาคต หรือความเชื่อส่วนบุคคล แต่สำหรับพี่โก๋ ไพ่ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือทำนาย แต่คือ เครื่องมือแห่งการเข้าใจตนเอง

         ศิลปะแห่งสัญลักษณ์ การค้นหาคำตอบ และพลังของการเข้าใจตัวเอง นอกเหนือจากความหลงใหลในศิลปะแห่งการแต่งหน้าและน้ำหอมแล้ว “พี่โก๋” ยังมีอีกหนึ่งศาสตร์ที่เขาให้ความสนใจเป็นพิเศษ นั่นคือ ศาสตร์การดูดวงผ่านไพ่ สำหรับหลายคน การดูดวงอาจเป็นเรื่องของโชคชะตา การทำนายอนาคต หรือความเชื่อส่วนบุคคล แต่สำหรับพี่โก๋ ไพ่ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือทำนาย แต่คือ เครื่องมือแห่งการเข้าใจตนเอง


จุดเริ่มต้นของเส้นทางไพ่ทำนาย

         เส้นทางของพี่โก๋กับ ศาสตร์ไพ่ทำนาย ไม่ได้เกิดจากความต้องการทำนายอนาคต แต่เริ่มจาก ความสนใจในศาสตร์เร้นลับและสัญลักษณ์ที่ซ่อนอยู่ในไพ่ ตั้งแต่ช่วงมหาวิทยาลัย เขาเริ่มศึกษาเกี่ยวกับไพ่ทาโรต์อย่างจริงจัง ผ่านการอ่านหนังสือ ดูคลิปวิดีโอ และทดลองใช้ไพ่กับตัวเอง รวมถึงคนรอบตัว ความลึกซึ้งของไพ่แต่ละใบไม่ได้เป็นเพียงการทำนาย แต่เป็น เครื่องมือที่สะท้อนจิตใจและช่วยให้คนเข้าใจตัวเองมากขึ้น

         สำหรับพี่โก๋ ไพ่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ศาสตร์แห่งโชคชะตา แต่เป็น กระจกที่สะท้อนจิตใจและแนวคิดของแต่ละคน เมื่อใครสักคนมาดูไพ่กับเขา สิ่งสำคัญไม่ใช่คำทำนายล่วงหน้า แต่เป็นกระบวนการที่ช่วยให้พวกเขาตั้งคำถามกับตัวเอง และมองเห็นมุมมองใหม่ ๆ ในชีวิต


ศาสตร์แห่งไพ่—เครื่องมือที่ช่วยให้คนเข้าใจตัวเอง

         สำหรับพี่โก๋ ไพ่ทำนายไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือแห่งโชคชะตา แต่เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้คนมองลึกลงไปในจิตใจของตัวเอง หลายครั้งที่คนมาดูไพ่ ไม่ใช่เพราะต้องการรู้อนาคตแบบแน่นอน แต่เพื่อค้นหาคำตอบที่พวกเขาอาจมองข้ามไป เขามองว่า ไพ่ช่วยให้คน ตั้งคำถามกับตัวเอง และตีความสิ่งที่อยู่ในใจออกมาเป็นรูปธรรม ไพ่แต่ละใบสะท้อนถึงอารมณ์ ความคิด และสถานการณ์ที่กำลังเผชิญ ทำให้ผู้ที่มาดูสามารถ ทำความเข้าใจตัวเองได้ดีขึ้น

         มากกว่าการพึ่งพาดวง ไพ่จึงเป็นเหมือน กระจกสะท้อนตัวตน ที่ช่วยให้คนสามารถทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต และนำไปสู่การตัดสินใจที่เหมาะสมกับตัวเองที่สุด


เมื่อการดูดวงเปลี่ยนชีวิตใครบางคน

         เมื่อถามว่าพี่โก๋เคยมีประสบการณ์ที่รู้สึกว่าการดูดวงเปลี่ยนชีวิตใครบางคนไปในทางที่ดีขึ้นหรือไม่? พี่โก๋บอกว่า ในหลายครั้ง ไพ่ทำนายไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือพยากรณ์อนาคต แต่เป็น ช่องทางที่ช่วยให้คนมองเห็นทางเลือกของตัวเองชัดขึ้น พี่โก๋เคยพบเจอหลายกรณีที่การดูไพ่ช่วยให้ใครบางคนกล้าตัดสินใจและเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเองไปในทางที่ดีขึ้น

         ประสบการณ์หนึ่งที่เขาจดจำได้ดี คือการที่มีคนมาหาเขาในช่วงเวลาที่รู้สึกสับสนและหมดหวังในชีวิต การพูดคุยและตีความไพ่ที่เปิดขึ้น ทำให้เขาเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่าความสุขของเขาคืออะไร และอะไรคือสิ่งที่เขาต้องการเปลี่ยนแปลง แท้จริงแล้ว ไม่ใช่ไพ่ที่เปลี่ยนชีวิตใคร แต่เป็นตัวเขาเองที่ตัดสินใจเปลี่ยนแปลง ไพ่เป็นเพียงเครื่องมือที่ช่วยให้คนมองเห็นสิ่งที่อยู่ภายในจิตใจของพวกเขาเองได้ชัดเจนขึ้น

         สำหรับพี่โก๋ นี่คืออีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาให้ความสำคัญกับศาสตร์แห่งไพ่—เพราะมันไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของโชคชะตา แต่เป็นการค้นหาคำตอบที่อยู่ในใจของแต่ละคน






“ศิลปะแห่งการบาลานซ์ชีวิต”

          เมื่อแพชชั่น งานหลัก และชีวิตส่วนตัว สามารถหลอมรวมกันได้ หากมองเผิน ๆ การทำงานด้านสิทธิมนุษยชน การแต่งหน้า การปรุงน้ำหอม และการดูดวง ดูเหมือนเป็นศาสตร์ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่สำหรับ พี่โก๋ แล้ว ทุกสิ่งล้วนเชื่อมโยงกัน และเป็นส่วนหนึ่งของตัวตนที่เขาหล่อหลอมขึ้นมา

          จากบทสัมภาษณ์ที่ผ่านมา เราได้เห็นแล้วว่าพี่โก๋คือคนที่เต็มไปด้วยความหลงใหลในหลากหลายศาสตร์ เขาทำงานเป็น HR Care Manager ที่ ThaiTGA ต่อสู้เพื่อสิทธิของคนข้ามเพศ ควบคู่ไปกับการเป็นช่างแต่งหน้า นักปรุงน้ำหอม และคนดูไพ่ แต่คำถามคือ เขาจัดการเวลาทั้งหมดนี้อย่างไร?


ศิลปะแห่งการบริหารเวลา

          สำหรับพี่โก๋ การทำงานหลักและงานอดิเรกไม่จำเป็นต้องเป็นสองสิ่งที่ขัดแย้งกัน แต่สามารถเสริมสร้างพลังให้กันและกันได้ งานที่ ThaiTGA เป็นภารกิจที่เขาทุ่มเทให้เป็นอันดับแรก แต่ในขณะเดียวกัน งานอดิเรกก็เป็นสิ่งที่ช่วยให้เขามีแรงและสมดุลในชีวิต

          การจัดสรรเวลาอย่างมีประสิทธิภาพจึงเป็นสิ่งสำคัญ เขาเลือก ให้ความสำคัญกับงานหลักก่อนเสมอ และใช้เวลาที่เหมาะสมในการทำสิ่งที่รัก ไม่ว่าจะเป็นการแต่งหน้า การปรุงน้ำหอม หรือศาสตร์ไพ่ทำนาย นอกจากนี้ เขาพยายาม ผสมผสานงานอดิเรกเข้ากับชีวิตประจำวัน โดยเชื่อมโยงสิ่งที่รักเข้ากับสิ่งที่ทำ เช่น การใช้ศาสตร์ของไพ่ในเชิงจิตวิทยาเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น หรือใช้น้ำหอมในการสร้างบรรยากาศที่ดีให้กับการทำงาน

          ท้ายที่สุด การรับฟังตัวเอง เป็นสิ่งที่เขาให้ความสำคัญที่สุด เขามองว่างานอดิเรกควรเป็นสิ่งที่ทำให้มีพลัง มากกว่าทำให้รู้สึกเหนื่อยล้า จึงต้องคอยทบทวนตัวเองอยู่เสมอว่าสิ่งที่ทำยังเป็นสิ่งที่เขารักอยู่หรือไม่


เริ่มต้นจากสิ่งที่ใช่—แรงบันดาลใจสำหรับคนที่อยากลองทำหลายอย่าง

          หลายคนอยากทำสิ่งที่รักมากกว่าหนึ่งอย่าง แต่ติดอยู่กับความกลัวว่าจะไปไม่รอด พี่โก๋เชื่อว่า การเริ่มต้นสำคัญกว่าการรอให้ทุกอย่างพร้อม หากคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังลังเล นี่คือแนวคิดที่อาจช่วยให้คุณกล้าก้าวออกจากความกลัว



บางครั้งสิ่งที่ยากที่สุดคือการลงมือทำ แต่เมื่อเริ่มแล้ว ทุกอย่างจะค่อย ๆ เติบโตและปรับเข้ากับชีวิตของเราเองการบาลานซ์ชีวิตระหว่างงานหลัก งานอดิเรก และชีวิตส่วนตัว ไม่ได้หมายความว่าเราต้องทำทุกอย่างให้สมบูรณ์แบบเสมอไป แต่คือการทำให้ทุกอย่าง เชื่อมโยงกันอย่างเป็นธรรมชาติ สำหรับพี่โก๋ การเป็นนักสิทธิมนุษยชน ไม่ได้ขัดแย้งกับการเป็นช่างแต่งหน้า นักปรุงน้ำหอม หรือหมอดูไพ่ แต่ทุกอย่างล้วนเป็น ศิลปะของการเข้าใจตัวเอง และส่งต่อพลังบวกให้กับผู้อื่น



เพราะสุดท้ายแล้ว ชีวิตที่ดี
คือชีวิตที่เราสามารถเป็นตัวเองได้อย่างเต็มที่








อรรถพล คู่กระสังข์

เชื่อในพลังของการเรียนรู้ที่ไม่รู้จบ สนใจสำรวจเรื่องราวที่เชื่อมโยงผู้คน วิถีชีวิต สังคม และวัฒนธรรม โดยเฉพาะรากเหง้าอีสาน
ชื่นชอบการเดินทางเพื่อเปิดโลกใหม่ ๆ และชอบคลายเครียดด้วยทำอาหาร